กัมพูชากล่าวหาไทย “ลอกแบบ” วัดภูม่านฟ้า กลางวงประชุมยูเนสโก | เปิดข้อเท็จจริงทั้งหมด
ประเด็นร้อนในแวดวงวัฒนธรรมระหว่างประเทศปะทุขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีรายงานว่าผู้แทนจากประเทศกัมพูชาได้หยิบยกประเด็นการก่อสร้าง “วัดภูม่านฟ้า” ในประเทศไทย ขึ้นมากล่าวหาว่าเป็นการคัดลอกเลียนแบบสถาปัตยกรรมขอมโบราณของตนเอง ในระหว่างการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญประจำปี ซึ่งจัดขึ้นโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) เหตุการณ์นี้ได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์และสร้างคำถามถึงข้อเท็จจริงเบื้องหลังการออกแบบวัดดังกล่าว
บทความนี้จะพาไปสำรวจข้อเท็จจริงของประเด็นนี้อย่างรอบด้าน พร้อมทำความเข้าใจบทบาทของคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งเป็นเวทีสำคัญที่เรื่องราวนี้เกิดขึ้น
อะไรคือข้อกล่าวหาของกัมพูชา?
ตามรายงานข่าว ผู้แทนจากกัมพูชาได้แสดงความกังวลและกล่าวหาว่า รูปแบบสถาปัตยกรรมของ วัดภูม่านฟ้า จังหวัดบุรีรัมย์ มีลักษณะคล้ายคลึงกับปราสาทขอมโบราณหลายแห่งในประเทศกัมพูชาอย่างมาก จนอาจเข้าข่ายการคัดลอกเลียนแบบมรดกทางวัฒนธรรม และเรียกร้องให้มีการตรวจสอบในประเด็นดังกล่าว
ข้อกล่าวหานี้ได้สร้างความสนใจอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นประเด็นอ่อนไหวที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรมร่วมของทั้งสองชาติ ซึ่งเคยมีกรณีพิพาทในลักษณะคล้ายกันนี้มาแล้วในอดีต
ข้อเท็จจริงของ “วัดภูม่านฟ้า” ปราสาทฝีมือคนไทย
เพื่อทำความเข้าใจประเด็นนี้ให้ลึกซึ้ง เราจำเป็นต้องทราบข้อมูลของ วัดภูม่านฟ้า หรือ วัดพุทธธรรมภูม่านฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านสิงห์ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ข้อเท็จจริงที่สำคัญคือ:
- ที่ตั้งในประเทศไทย: วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตแดนของประเทศไทยอย่างชัดเจน
- แรงบันดาลใจจากมรดกในพื้นที่: สถาปัตยกรรมของวัดภูม่านฟ้า ได้รับแรงบันดาลใจสำคัญมาจาก “ปราสาทหนองหงส์” ซึ่งเป็นปราสาทขอมโบราณที่ตั้งอยู่ในจังหวัดบุรีรัมย์ ห่างจากตัววัดไปไม่ไกลนัก
- การสืบสานศิลปะขอมในไทย: การออกแบบเป็นการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ โดยอ้างอิงรูปแบบศิลปะขอมโบราณ ซึ่งเป็นมรดกที่พบได้ทั่วไปในภาคอีสานของประเทศไทย การก่อสร้างในลักษณะนี้จึงเป็นการสืบสานและต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรมที่ปรากฏอยู่บนผืนแผ่นดินไทย
ดังนั้น ฝั่งไทยจึงสามารถชี้แจงได้ว่า การก่อสร้างวัดภูม่านฟ้าไม่ใช่การ “คัดลอก” มรดกของกัมพูชา แต่เป็นการ “สืบสาน” มรดกทางศิลปะขอมโบราณที่ค้นพบและตั้งอยู่ภายในอาณาเขตของตนเอง
ทำความรู้จัก “คณะกรรมการมรดกโลก” เวทีสำคัญระดับโลก
เหตุการณ์กล่าวหาครั้งนี้เกิดขึ้นในเวทีที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง นั่นคือ การประชุมคณะกรรมการมรดกโลก (World Heritage Committee) ซึ่งมีความสำคัญดังนี้
- องค์ประกอบ: คณะกรรมการประกอบด้วยตัวแทนจาก 21 รัฐภาคี ที่ได้รับการเลือกตั้งจากทั้งหมด 195 รัฐภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของโลก
- บทบาทและหน้าที่หลัก:
- รับผิดชอบการดำเนินการต่างๆ ให้เป็นไปตาม อนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก
- พิจารณาคำขอของประเทศต่างๆ ในการเสนอชื่อสถานที่ใหม่ๆ เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
- ประเมินสถานะการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลกที่ได้ขึ้นทะเบียนไปแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
- การประชุม: คณะกรรมการจะจัดการประชุมสมัยสามัญขึ้นปีละหนึ่งครั้ง เพื่อพิจารณาวาระสำคัญต่างๆ ดังที่กล่าวมา
การที่กัมพูชานำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม จึงเป็นการใช้เวทีระดับนานาชาติเพื่อสร้างแรงกดดันและดึงความสนใจจากประชาคมโลกต่อประเด็นดังกล่าว
บทสรุปและแนวทางข้างหน้า
ประเด็นการกล่าวหาเรื่องวัดภูม่านฟ้า สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนไหวในเรื่องมรดกทางวัฒนธรรมที่มีรากร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา ขณะที่ฝ่ายกัมพูชามองว่าเป็นการลอกเลียนแบบ ฝ่ายไทยก็มีหลักฐานและเหตุผลที่ชัดเจนว่าเป็นการสืบสานศิลปะจากโบราณสถานที่ตั้งอยู่ในประเทศของตนเอง
เรื่องนี้คงต้องรอการชี้แจงอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยในเวทีระหว่างประเทศต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความเข้าใจร่วมกันบนพื้นฐานของข้อมูลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพื่อให้มรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของบรรพบุรุษเป็นเครื่องมือในการเชื่อมความสัมพันธ์ ไม่ใช่การสร้างความขัดแย้งระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน