สรุปผล PISA และรายงาน OECD: การศึกษาไทยอยู่จุดไหน? (เข้าใจใน 5 นาที)
ทุกๆ 3 ปี ผลการประเมินที่ชื่อว่า “PISA” จะสร้างแรงกระเพื่อมให้วงการศึกษาทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย รายงานเหล่านี้จัดทำโดย OECD ซึ่งเปรียบเสมือน “กระจก” ที่สะท้อนคุณภาพและมาตรฐานระบบการศึกษาของเราเมื่อเทียบกับนานาชาติ การทำความเข้าใจข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่การหาคนผิด แต่คือการใช้ข้อมูลเพื่อ “หาทาง” พัฒนาการศึกษาของเด็กไทยให้ดียิ่งขึ้น บทความนี้จะสรุปภาพรวมให้คุณเข้าใจง่ายๆ ใน 5 นาที
OECD และ PISA คืออะไร?
- OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development): คือ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา เป็นกลุ่มของประเทศพัฒนาแล้วที่ร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม OECD ได้จัดทำข้อมูลเปรียบเทียบในหลากหลายมิติ รวมถึง “การศึกษา”
- PISA (Programme for International Student Assessment): คือ โปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล จัดทำโดย OECD เพื่อประเมินนักเรียนอายุ 15 ปี ใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การอ่าน (Reading), คณิตศาสตร์ (Mathematics), และวิทยาศาสตร์ (Science) โดยเน้นการวัดความสามารถในการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริง ไม่ใช่การท่องจำ
ส่องผลคะแนน PISA ไทยล่าสุด (PISA 2022)
ผลการประเมิน PISA 2022 ที่ประกาศออกมาในช่วงปลายปี 2566 สะท้อนภาพที่น่ากังวลสำหรับประเทศไทย:
- คณิตศาสตร์: 394 คะแนน (ค่าเฉลี่ย OECD: 472)
- วิทยาศาสตร์: 409 คะแนน (ค่าเฉลี่ย OECD: 485)
- การอ่าน: 378 คะแนน (ค่าเฉลี่ย OECD: 476)
เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของประเทศสมาชิก OECD จะเห็นว่าคะแนนของไทย ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในทุกด้าน และเมื่อเทียบกับผลการประเมินในรอบก่อนหน้า (PISA 2018) พบว่าคะแนนของไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง
จุดแข็ง และ จุดอ่อน ของการศึกษาไทยในสายตา OECD
จากการวิเคราะห์ข้อมูล รายงานได้ชี้ให้เห็นภาพรวมของการศึกษาไทย ดังนี้
จุดแข็ง (Strengths) / โอกาสในการพัฒนา
- การเข้าถึงการศึกษา: ประเทศไทยมีอัตราการเข้าเรียนในระดับการศึกษาภาคบังคับที่สูง
- ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน: นักเรียนไทยจำนวนมากรายงานว่ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนและเข้ากับเพื่อนได้ดี ซึ่งเป็นรากฐานทางสังคมที่ดี
- การลงทุนภาครัฐ: รัฐบาลไทยจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษาในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับงบประมาณทั้งหมด
จุดอ่อน (Weaknesses) ที่ต้องเร่งแก้ไข
- คุณภาพและสมรรถนะหลัก: ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือคะแนนสมรรถนะหลักทั้ง 3 ด้านอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งชี้ว่านักเรียนจำนวนมากยังขาดทักษะการคิดวิเคราะห์และการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
- ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาสูง: เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุนแรง PISA ชี้ให้เห็นช่องว่างทางคะแนนที่กว้างมากระหว่างนักเรียนจากครอบครัวที่มีฐานะดีกับนักเรียนจากครอบครัวที่ขาดแคลน รวมถึงช่องว่างระหว่างโรงเรียนในเมืองกับโรงเรียนในชนบท และโรงเรียนสาธิตกับโรงเรียนขยายโอกาส
- ขาด “กรอบคิดแบบเติบโต” (Growth Mindset): นักเรียนไทยจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าความฉลาดเป็นสิ่งตายตัวและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ (Fixed Mindset) ซึ่งกรอบคิดนี้ส่งผลโดยตรงต่อแรงจูงใจและความพยายามในการเรียนรู้เรื่องที่ท้าทาย
- ปัญหาครู: การขาดแคลนครูในบางสาขาวิชา และความจำเป็นในการพัฒนาครูให้มีทักษะการสอนที่เน้นสมรรถนะมากขึ้น
ข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนา
รายงานของ OECD มักชี้ไปในแนวทางที่คล้ายคลึงกัน คือการแก้ปัญหาที่รากฐาน:
- ลงทุนในความเสมอภาค: จัดสรรทรัพยากรและครูคุณภาพสูงไปยังโรงเรียนที่ขาดแคลนอย่างจริงจัง เพื่อลดช่องว่างทางการศึกษา
- ปรับเปลี่ยนการเรียนการสอน: เน้นการสอนที่ส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูง การแก้ปัญหา และการนำไปใช้ มากกว่าการท่องจำเนื้อหาเพื่อสอบ
- ส่งเสริม Growth Mindset: สร้างวัฒนธรรมในห้องเรียนที่มองว่าความผิดพลาดคือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้และทุกคนสามารถพัฒนาได้
- พัฒนาครูอย่างต่อเนื่อง: สนับสนุนให้ครูได้พัฒนาตนเองในด้านเทคนิคการสอนที่เน้นสมรรถนะและจิตวิทยาการเรียนรู้
สรุปสำหรับครูและผู้บริหาร: เราจะทำอะไรได้บ้าง?
- ครูผู้สอน: สามารถปรับกิจกรรมในห้องเรียนให้เน้นการแก้ปัญหาจากสถานการณ์จริงมากขึ้น, ตั้งคำถามปลายเปิดที่กระตุ้นการคิดวิเคราะห์, และสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยให้นักเรียนกล้าลองผิดลองถูก
- ผู้บริหารโรงเรียน: สามารถใช้ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ของโรงเรียนเพื่อวางแผนพัฒนาคุณภาพ, จัดตั้งชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อให้ครูได้แลกเปลี่ยนเทคนิคการสอน, และส่งเสริมนโยบายที่มุ่งช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มที่เรียนรู้ช้าเป็นพิเศษ
บทสรุป: ผลคะแนน PISA ไม่ใช่คำพิพากษา แต่เป็น “ข้อมูลวินิจฉัย” ที่ทรงคุณค่า มันชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการศึกษาไทยกำลังป่วยด้วยโรค “ความเหลื่อมล้ำ” และ “การขาดทักษะแห่งอนาคต” การจะยกระดับคุณภาพการศึกษาได้นั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยมีจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงในห้องเรียน ของคุณครูทุกคน