brown wooden sticks with green leaf
|

ไม่ใช่แค่หมดแรง แต่คือ “หมดใจ” – สัญญาณ Burnout และวิธีดูแลใจในโลกการทำงานยุค 2025

“เหนื่อย” “เบื่อ” “ไม่อยากตื่นไปทำงาน” – หากประโยคเหล่านี้กลายเป็นความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวของคุณแทบทุกวัน มันอาจไม่ใช่แค่อาการขี้เกียจชั่วครั้งชั่วคราว แต่อาจเป็นสัญญาณของ “ภาวะหมดไฟ” (Burnout Syndrome) ปัญหาสุขภาพจิตที่กำลังคุกคามชีวิตคนวัยทำงานในประเทศไทยอย่างน่าเป็นห่วง จนมีสถิติชี้ว่า “คนกรุงเทพฯ 7 ใน 10 มีอาการหมดไฟในการทำงาน”

ในยุคที่โลกการทำงานหมุนเร็วและเต็มไปด้วยความกดดัน กระแสการหันกลับมาใส่ใจดูแล “สุขภาพใจ” จึงไม่ใช่เรื่องของคนอ่อนแออีกต่อไป แต่คือทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและยั่งยืน บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจทุกมิติของภาวะหมดไฟ พร้อมแนวทางการ “ชาร์จใจ” ให้กลับมาเต็มอีกครั้ง ทั้งในระดับบุคคลและระดับองค์กร

a woman sitting in front of a laptop computer
Photo by SEO Galaxy on Unsplash

เช็กลิสต์ “ภาวะหมดไฟ” คุณกำลังเข้าข่ายอยู่หรือไม่?

ภาวะหมดไฟ ไม่ใช่แค่ความเครียด แต่เป็นสภาวะของความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และร่างกายขั้นสุด ที่เกิดจากการทำงานหนักสะสมเป็นเวลานาน องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้นิยามอาการหลักไว้ 3 ด้าน ลองสำรวจตัวเองดูว่าคุณมีอาการเหล่านี้หรือไม่

  1. ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และร่างกาย (Exhaustion):
    • รู้สึกพลังงานหมดเกลี้ยง ไม่ว่าจะนอนพักเท่าไรก็ไม่สดชื่น
    • อ่อนเพลียเรื้อรัง และอาจมีอาการป่วยทางกายร่วมด้วย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง
  2. ความรู้สึกเหินห่างและมองโลกในแง่ลบต่องาน (Cynicism / Depersonalization):
    • เริ่มรู้สึกดูถูกงานที่ทำ มองเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าในแง่ลบ
    • รู้สึกโดดเดี่ยว แปลกแยกจากที่ทำงาน และพยายามตีตัวออกห่าง
    • ขาดความกระตือรือร้น จากที่เคยสนุกกับงาน กลายเป็นทำไปวันๆ ให้มันจบไป
  3. ความรู้สึกว่าตนเองไร้ประสิทธิภาพ (Reduced Professional Efficacy):
    • รู้สึกว่าตัวเองทำงานได้ไม่ดีพอ ไม่สามารถสร้างผลงานที่มีคุณภาพได้
    • ไม่พอใจในความสำเร็จของตัวเอง และเริ่มสงสัยในความสามารถของตนเอง
    • ขาดสมาธิในการทำงานและประสิทธิภาพโดยรวมลดลงอย่างเห็นได้ชัด

สาเหตุของภาวะหมดไฟ: ไม่ใช่แค่ ‘งานหนัก’ แต่คืออะไร?

ภาวะหมดไฟมักเกิดจากความไม่สมดุลในสภาพแวดล้อมการทำงานมากกว่าตัวบุคคล โดยมีปัจจัยหลักๆ ดังนี้:

  • ภาระงานที่หนักเกินไป (Unmanageable Workload): มีงานต้องทำมากเกินกว่าเวลาและทรัพยากรที่มี
  • ขาดการควบคุม (Lack of Control): รู้สึกว่าไม่มีอำนาจในการตัดสินใจหรือควบคุมทิศทางงานของตัวเองได้
  • การไม่ได้รับการยอมรับหรือรางวัลที่เพียงพอ (Insufficient Reward): ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่รวมถึงการไม่ได้รับการชื่นชมหรือยอมรับในผลงาน
  • สังคมในที่ทำงานที่ไม่ดี (Breakdown of Community): ขาดการสนับสนุนจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน หรือมีความขัดแย้งในที่ทำงาน
  • ความไม่เป็นธรรม (Unfairness): การปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม การเลือกที่รักมักที่ชัง
  • ค่านิยมที่ไม่ตรงกัน (Values Mismatch): ค่านิยมขององค์กรขัดแย้งกับค่านิยมส่วนตัวของคุณ

วิธีฮีลใจเมื่อไฟเริ่มมอด: แนวทางสำหรับ ‘ตัวเรา’

เมื่อรู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับภาวะหมดไฟ การลุกขึ้นมาจัดการคือสิ่งสำคัญที่สุด

  1. ยอมรับและสื่อสาร: ยอมรับว่านี่คือปัญหา ไม่ใช่ความอ่อนแอ และลองพูดคุยกับคนที่คุณไว้ใจ เช่น เพื่อน ครอบครัว หรือหัวหน้างาน
  2. กำหนดขอบเขตให้ชัดเจน (Set Boundaries): เรียนรู้ที่จะปฏิเสธงานที่เกินกำลัง, กำหนดเวลาเลิกงานที่ชัดเจน และพยายามไม่นำเรื่องงานกลับมาทำหรือคิดต่อที่บ้าน
  3. ให้เวลาดูแลตัวเอง (Prioritize Self-Care): จัดตารางเวลาสำหรับการพักผ่อน, นอนหลับให้เพียงพอ, ออกกำลังกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์
  4. หาความสุขนอกเวลางาน: ทำกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานเลย เพื่อให้สมองได้พักและชาร์จพลัง เช่น ปลูกต้นไม้, วาดรูป, เล่นดนตรี, ดูซีรีส์
  5. ฝึกสติ (Mindfulness): ลองฝึกสมาธิ, การหายใจ หรือเขียนบันทึก (Journaling) เพื่อจัดการกับความเครียดและอยู่กับปัจจุบัน
  6. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากอาการไม่ดีขึ้น การเข้าพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อรับคำปรึกษาคือทางออกที่ดีและไม่ใช่เรื่องน่าอาย

องค์กรจะช่วยได้อย่างไร? สร้างวัฒนธรรมที่ ‘ใจ’ ไม่สลาย

ภาวะหมดไฟเป็นปัญหาเชิงระบบ องค์กรจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและแก้ไข

  • ส่งเสริม Work-Life Balance: สร้างนโยบายที่ยืดหยุ่น เช่น การทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Remote/Hybrid Work), กำหนดเวลาเข้า-ออกงานที่ยืดหยุ่น และสนับสนุนให้พนักงานใช้วันลาพักร้อนจริงๆ
  • จัดสรรภาระงานที่เป็นธรรม: ประเมินและกระจายงานให้เหมาะสมกับความสามารถและเวลาของพนักงาน
  • สร้างวัฒนธรรมแห่งการยอมรับและชื่นชม: มีระบบการให้คำชมเชยและรางวัลที่ชัดเจน เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่าผลงานของพวกเขามีคุณค่า
  • ฝึกอบรมผู้จัดการและหัวหน้าทีม: สอนให้หัวหน้าสามารถรับฟัง, สื่อสารด้วยความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) และสังเกตสัญญาณของภาวะหมดไฟในทีมได้
  • จัดหาสวัสดิการด้านสุขภาพจิต: เช่น การให้คำปรึกษากับนักจิตวิทยา (Employee Assistance Programs – EAP)

บทสรุป: การดูแลใจคือทักษะแห่งอนาคต

ภาวะหมดไฟในการทำงาน ไม่ใช่ปัญหาส่วนบุคคล แต่เป็นภาพสะท้อนของโลกการทำงานสมัยใหม่ที่ต้องการความสมดุลมากกว่าที่เคย การ “ดูแลใจ” ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับทุกคนในการสร้างอาชีพที่ยั่งยืนและชีวิตที่มีความสุข การเริ่มต้นที่ตัวเราและการส่งเสียงให้องค์กรได้รับรู้ คือก้าวแรกที่สำคัญในการดับไฟแห่งความเหนื่อยล้า และจุดประกายแห่งความสุขในการทำงานให้กลับคืนมาอีกครั้ง

Similar Posts

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *