a classroom filled with desks and a chalkboard
| | | |

การจัดการเรียนการสอนในประเทศไทย: ปรากฏการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทย

“การเรียนไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน: เรื่องจริงที่คุณอาจไม่เคยรู้”

ทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญกับคุณ

ในฐานะครู นักเรียน หรือผู้ปกครอง คุณอาจเคยรู้สึกว่าการเรียนการสอนในประเทศไทยยังคงเน้นท่องจำมากกว่าส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ หรืออาจสงสัยว่าแนวทางการศึกษาแบบเดิมยังเหมาะสมกับเด็กยุคใหม่หรือไม่ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับประเด็น “การจัดการเรียนการสอนในประเทศไทยที่กำลังเป็นกระแส” พร้อมกับเจาะลึกข้อเท็จจริงที่หลายคนยังไม่รู้

A classroom with tables and chairs and a whiteboard
Photo by Ivy Dao on Unsplash

รูปแบบการจัดการเรียนการสอนในไทย: จากอดีตสู่ปัจจุบัน

ยุคของการสอนแบบครูเป็นศูนย์กลาง

อดีตของการเรียนการสอนในประเทศไทยถูกกำหนดโดยระบบที่ยึดถือ “ครูคือผู้รู้” เด็กนักเรียนมีหน้าที่รับฟังและจดจำบทเรียนเพื่อทำข้อสอบให้ผ่าน ไม่เน้นการตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์

การเปลี่ยนผ่านสู่การเรียนรู้แบบ Active Learning

ปัจจุบันประเทศไทยเริ่มหันมาใช้แนวทาง Active Learning และ Student-Centered Learning ที่เน้นให้ผู้เรียนมีบทบาทในการเรียนรู้มากขึ้น เช่น

  • การเรียนรู้ผ่านปัญหา (Problem-Based Learning)
  • โครงงานฐานวิจัย (Project-Based Learning)
  • การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative Learning)

แนวทางเหล่านี้เปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือทำจริง มีปฏิสัมพันธ์ และใช้ทักษะในโลกแห่งความเป็นจริง


กระแสสังคมที่กำลังผลักดันการศึกษาไทย

1. การเปลี่ยนแปลงจากการสอบ O-NET สู่ระบบวัดผลใหม่

ในปี 2567 กระทรวงศึกษาธิการประกาศยกเลิก O-NET ระดับชั้น ม.6 และวางแผนทดแทนด้วยระบบการวัดผลที่อิงทักษะจริงมากขึ้น เช่น

  • การประเมินจากแฟ้มสะสมงาน (Portfolio)
  • การวัดสมรรถนะ (Competency-Based Assessment)

สิ่งนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการครู ผู้ปกครอง และโรงเรียนอย่างกว้างขวาง

2. เทคโนโลยี EdTech และ AI กับบทบาทครูในยุคดิจิทัล

การเกิดขึ้นของ แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์, ห้องเรียนเสมือนจริง, และ AI ผู้ช่วยครู ทำให้ครูต้องปรับตัวอย่างหนัก ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดความรู้ แต่ยังต้องเป็นผู้ออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้

ตัวอย่างแพลตฟอร์มยอดนิยม:

  • Khan Academy ภาษาไทย
  • Learn Education
  • YouTube ช่องเรียนรู้

3. กระแส “เรียนรู้เพื่อชีวิตจริง” กับคำถามว่าเราสอนเด็กเพื่ออะไร?

เด็กไทยเริ่มตั้งคำถามว่า “เราเรียนสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร?”
ดังนั้นการศึกษายุคใหม่ต้องตอบได้ว่า

เรียนแล้วนำไปใช้ได้จริงหรือไม่?
ช่วยให้มีอาชีพ มีชีวิตที่ดีขึ้นหรือไม่?


จุดอ่อนของระบบเดิมที่สังคมกำลังตั้งคำถาม

  • หลักสูตรล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับศตวรรษที่ 21
  • ครูถูกจำกัดด้วยภาระเอกสาร มากกว่าพัฒนาเด็ก
  • การวัดผลที่เน้นคะแนนมากกว่าทักษะ

ระบบเหล่านี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากทั้งนักการศึกษาและผู้ปกครอง เพราะไม่สามารถสร้างพลเมืองที่มี “ทักษะคิด วิเคราะห์ และลงมือทำ”


เสียงจากครูแนวหน้า: เมื่อความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งจำเป็น

“ทุกวันนี้ เราไม่ใช่แค่คนสอนหนังสือ แต่เป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ และต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็ก”
ครูพิษณุพงศ์ พาระแพน
โรงเรียนแห่งหนึ่งในชนบท

“เราเริ่มเห็นว่าการทำให้เด็กรู้จักคิด สำคัญกว่าการสอนให้เขาท่องจำ”
ครูณัฐริกา แม๊กพิมาย
ผู้ผ่านการอบรมพัฒนาครูการเงินแห่งปี 2568


ตัวอย่างโรงเรียนที่เปลี่ยนแนวคิดได้สำเร็จ

1. โรงเรียนขนาดเล็กในชนบท ที่ใช้ “การเรียนรู้จากชุมชน”

  • ให้นักเรียนเรียนรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน
  • สร้างโครงงานวิจัยจากวิถีชีวิต เช่น การเลี้ยงปลาดุก การปลูกพืชอินทรีย์

2. โรงเรียนวิทยาศาสตร์น้อยฯ กับการเรียนรู้แบบบูรณาการ

  • บูรณาการความรู้จากหลายวิชา เช่น ไทย+วิทย์ ผ่านนิทานพื้นบ้าน
  • นักเรียนได้คิด วิเคราะห์ ทดลอง และถกเถียงในชั้นเรียน

วิธีที่ครูไทยสามารถเปลี่ยนการสอนให้ทันสมัย

1. เรียนรู้เครื่องมือดิจิทัล

  • ใช้ Canva สร้างสื่อการสอน
  • ใช้ Google Classroom, Quizziz หรือ Kahoot สร้างกิจกรรม Interactive

2. ออกแบบกิจกรรมแบบ Active Learning

  • เปลี่ยน “ใบงาน” เป็น “สถานการณ์สมมติ”
  • ใช้ละคร บทบาทสมมติ หรือเกมการศึกษาเข้าชั้นเรียน

3. ประเมินผลแบบพัฒนา ไม่ใช่ตัดสิน

  • ใช้การสะท้อนคิด (Reflection)
  • ให้คะแนนจากความพยายามและความร่วมมือ

สรุป: อนาคตของการศึกษาไทย อยู่ในมือของเรา

ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการปฏิรูปการศึกษา ทุกฝ่ายตั้งแต่ครูถึงผู้ปกครองต้องร่วมมือกันผลักดันให้เกิดการเรียนรู้ที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงเพื่อสอบผ่าน แต่เพื่อสร้างคนที่มีคุณภาพในสังคม

หากคุณคือคนหนึ่งที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง เราเชื่อว่าบทบาทของคุณจะสำคัญไม่แพ้ใคร


แล้วคุณล่ะ…คิดว่า “การเรียนในโรงเรียนไทย” ควรเปลี่ยนแปลงในเรื่องใดมากที่สุด?

มาร่วมแชร์ความเห็น หรือส่งต่อบทความนี้ให้กับเพื่อนครูหรือผู้ปกครองที่คุณห่วงใย

Similar Posts

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *