การจัดการเรียนการสอนในประเทศไทย: ปรากฏการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทย
“การเรียนไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน: เรื่องจริงที่คุณอาจไม่เคยรู้”
ทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญกับคุณ
ในฐานะครู นักเรียน หรือผู้ปกครอง คุณอาจเคยรู้สึกว่าการเรียนการสอนในประเทศไทยยังคงเน้นท่องจำมากกว่าส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ หรืออาจสงสัยว่าแนวทางการศึกษาแบบเดิมยังเหมาะสมกับเด็กยุคใหม่หรือไม่ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับประเด็น “การจัดการเรียนการสอนในประเทศไทยที่กำลังเป็นกระแส” พร้อมกับเจาะลึกข้อเท็จจริงที่หลายคนยังไม่รู้
รูปแบบการจัดการเรียนการสอนในไทย: จากอดีตสู่ปัจจุบัน
ยุคของการสอนแบบครูเป็นศูนย์กลาง
อดีตของการเรียนการสอนในประเทศไทยถูกกำหนดโดยระบบที่ยึดถือ “ครูคือผู้รู้” เด็กนักเรียนมีหน้าที่รับฟังและจดจำบทเรียนเพื่อทำข้อสอบให้ผ่าน ไม่เน้นการตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์
การเปลี่ยนผ่านสู่การเรียนรู้แบบ Active Learning
ปัจจุบันประเทศไทยเริ่มหันมาใช้แนวทาง Active Learning และ Student-Centered Learning ที่เน้นให้ผู้เรียนมีบทบาทในการเรียนรู้มากขึ้น เช่น
- การเรียนรู้ผ่านปัญหา (Problem-Based Learning)
- โครงงานฐานวิจัย (Project-Based Learning)
- การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative Learning)
แนวทางเหล่านี้เปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือทำจริง มีปฏิสัมพันธ์ และใช้ทักษะในโลกแห่งความเป็นจริง
กระแสสังคมที่กำลังผลักดันการศึกษาไทย
1. การเปลี่ยนแปลงจากการสอบ O-NET สู่ระบบวัดผลใหม่
ในปี 2567 กระทรวงศึกษาธิการประกาศยกเลิก O-NET ระดับชั้น ม.6 และวางแผนทดแทนด้วยระบบการวัดผลที่อิงทักษะจริงมากขึ้น เช่น
- การประเมินจากแฟ้มสะสมงาน (Portfolio)
- การวัดสมรรถนะ (Competency-Based Assessment)
สิ่งนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการครู ผู้ปกครอง และโรงเรียนอย่างกว้างขวาง
2. เทคโนโลยี EdTech และ AI กับบทบาทครูในยุคดิจิทัล
การเกิดขึ้นของ แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์, ห้องเรียนเสมือนจริง, และ AI ผู้ช่วยครู ทำให้ครูต้องปรับตัวอย่างหนัก ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดความรู้ แต่ยังต้องเป็นผู้ออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้
ตัวอย่างแพลตฟอร์มยอดนิยม:
- Khan Academy ภาษาไทย
- Learn Education
- YouTube ช่องเรียนรู้
3. กระแส “เรียนรู้เพื่อชีวิตจริง” กับคำถามว่าเราสอนเด็กเพื่ออะไร?
เด็กไทยเริ่มตั้งคำถามว่า “เราเรียนสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร?”
ดังนั้นการศึกษายุคใหม่ต้องตอบได้ว่า
เรียนแล้วนำไปใช้ได้จริงหรือไม่?
ช่วยให้มีอาชีพ มีชีวิตที่ดีขึ้นหรือไม่?
จุดอ่อนของระบบเดิมที่สังคมกำลังตั้งคำถาม
- หลักสูตรล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับศตวรรษที่ 21
- ครูถูกจำกัดด้วยภาระเอกสาร มากกว่าพัฒนาเด็ก
- การวัดผลที่เน้นคะแนนมากกว่าทักษะ
ระบบเหล่านี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากทั้งนักการศึกษาและผู้ปกครอง เพราะไม่สามารถสร้างพลเมืองที่มี “ทักษะคิด วิเคราะห์ และลงมือทำ”
เสียงจากครูแนวหน้า: เมื่อความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งจำเป็น
“ทุกวันนี้ เราไม่ใช่แค่คนสอนหนังสือ แต่เป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ และต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็ก”
— ครูพิษณุพงศ์ พาระแพน
โรงเรียนแห่งหนึ่งในชนบท
“เราเริ่มเห็นว่าการทำให้เด็กรู้จักคิด สำคัญกว่าการสอนให้เขาท่องจำ”
— ครูณัฐริกา แม๊กพิมาย
ผู้ผ่านการอบรมพัฒนาครูการเงินแห่งปี 2568
ตัวอย่างโรงเรียนที่เปลี่ยนแนวคิดได้สำเร็จ
1. โรงเรียนขนาดเล็กในชนบท ที่ใช้ “การเรียนรู้จากชุมชน”
- ให้นักเรียนเรียนรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน
- สร้างโครงงานวิจัยจากวิถีชีวิต เช่น การเลี้ยงปลาดุก การปลูกพืชอินทรีย์
2. โรงเรียนวิทยาศาสตร์น้อยฯ กับการเรียนรู้แบบบูรณาการ
- บูรณาการความรู้จากหลายวิชา เช่น ไทย+วิทย์ ผ่านนิทานพื้นบ้าน
- นักเรียนได้คิด วิเคราะห์ ทดลอง และถกเถียงในชั้นเรียน
วิธีที่ครูไทยสามารถเปลี่ยนการสอนให้ทันสมัย
1. เรียนรู้เครื่องมือดิจิทัล
- ใช้ Canva สร้างสื่อการสอน
- ใช้ Google Classroom, Quizziz หรือ Kahoot สร้างกิจกรรม Interactive
2. ออกแบบกิจกรรมแบบ Active Learning
- เปลี่ยน “ใบงาน” เป็น “สถานการณ์สมมติ”
- ใช้ละคร บทบาทสมมติ หรือเกมการศึกษาเข้าชั้นเรียน
3. ประเมินผลแบบพัฒนา ไม่ใช่ตัดสิน
- ใช้การสะท้อนคิด (Reflection)
- ให้คะแนนจากความพยายามและความร่วมมือ
สรุป: อนาคตของการศึกษาไทย อยู่ในมือของเรา
ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการปฏิรูปการศึกษา ทุกฝ่ายตั้งแต่ครูถึงผู้ปกครองต้องร่วมมือกันผลักดันให้เกิดการเรียนรู้ที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงเพื่อสอบผ่าน แต่เพื่อสร้างคนที่มีคุณภาพในสังคม
หากคุณคือคนหนึ่งที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง เราเชื่อว่าบทบาทของคุณจะสำคัญไม่แพ้ใคร
แล้วคุณล่ะ…คิดว่า “การเรียนในโรงเรียนไทย” ควรเปลี่ยนแปลงในเรื่องใดมากที่สุด?
มาร่วมแชร์ความเห็น หรือส่งต่อบทความนี้ให้กับเพื่อนครูหรือผู้ปกครองที่คุณห่วงใย